Automotive

Jekshockup

วิธีตรวจเช็คช่วงล่างรถยนต์ได้ด้วยตนเองง่าย ๆ

ช่วงล่างรถยนต์ถือเป็นสิ่งสำคัญหรือเป็นโครงสร้างหลักของรถยนต์เลยก็ว่าได้ แต่ปัญหาก็คือ ถ้าอย่างเรา ๆ ที่ทำหน้าที่เพียงเป็นผู้ขับรถไม่มีความรู้ด้านช่างซึ่งไม่พอต่อความปลอดภัยในการใช้รถของเราอย่างแน่ ๆ ในวันนี้เราจะพากันไปดู วิธีการตรวจเช็คช่วงล่างรถยนต์ได้ด้วยตนเองง่าย ๆ จากการสังเกต ผู้ขับขี่ไม่มีความรู้เรื่องช่างอย่างเราๆ ก็สามารถเข้าใจได้ รู้อย่างนี้แล้ว ก็ไปร่วมศึกษากันได้เลยครับ 1. การส่องยางกันฝุ่นด้วยตาเปล่า วิธีการสังเกตยางกันฝุ่นลูกหมากนั้น ทำได้ง่ายมากครับ เพราะมันคือ “ยาง” ซึ่งเนื้อยางมันเมื่อถูกกระแทก สั่นสะเทือน หรือ มีอุณหภูมิ ก็อาจทำให้เกิดการขยายตัวของเนื้อยางบ้าง แต่การขยายตัวของเนื้อยางนั้น เป็นปกติของยางกันฝุ่นลูกหมาก เพราะลูกหมากนั้นนอกจะยึดติดกับชิ้นส่วนช่วงล่างแล้ว มันยังถูกกระทำด้วยแรงกระแทก สั่นสะเทือน ตลอดเวลาที่มีการเคลื่อนตัวของรถยนต์ จากแรงกระทำนั้น ก็เป็นเหตุให้เกิดความร้อนเพิ่มขึ้น เนื่องด้วยการกระแทกนั้นก็อาจทำให้เกิดการเสียดสีกันเล็กน้อย ระหว่างแกนลูกหมากและฐานลูกหมาก ซึ่งหากไม่มีจาระบีมาช่วยในการหล่อลื่นแล้ว การเสียดสีย่อมเกิดความรุนแรงทำให้ลูกหมากเสียหายมากกว่านี้แน่นอน รวมไปถึงเสียงที่เกิดจากการเสียดสี อาจทำให้เกิดความไม่สำราญหู ในการขับขี่ได้ 2. ยางกันฝุ่น มีรอยแตกลายงา รอยแตกลายงาที่ว่า สังเกตง่ายๆ ก็จะคล้ายๆกับลายมือของท่านผู้ใช้รถทุก ๆ ท่านเลย การที่มีรอยแตกลายงานั้น ยังไม่ได้หมายความว่าลูกหมากจะเสีย หากแต่เพียง เสื่อมไปตามการใช้งาน  การเสื่อมสภาพของยางกันฝุ่นจนมีการแตกลายงานั้น ก็มาจากการใช้งานลูกหมาก ซึ่งต้องรับทั้งแรงกระแทก แรงสั่นสะเทือน และความร้อน จึงทำให้เนื้อยางมีการเปลี่ยนรูปไปบ้าง ผิดรูปไปบ้าง จนทำให้เกิดการสึกหรอของเนื้อยางกันฝุ่น ซึ่งหากลูกหมากรถยนต์ ของท่านผู้ใช้รถท่านใดเป็นแบบนี้ ก็อาจจะยังไม่ต้องเปลี่ยนก็ได้ครับ หากแต่ต้องไปตรวจเช็คทางกายภาพ ในอีกรูปแบบหนึ่งของช่วงล่าง 3. ยางกันฝุ่น มีรอยฉีกขาด การที่ยางกันฝุ่นมีรอยฉีกขาดนั้น “ไม่ใช่เรื่องดี” อย่างแน่นอน เนื่องจากยางกันฝุ่นทำหน้าที่เป็นทั้ง ที่กักเก็บจาระบีและป้องกันอันตรายจากสภาพแวดล้อม หากเกิดการฉีดขาดขึ้น นั่นหมายความว่า “จาระบี” ...

Read More
ชุดช่วงล่างคุณภาพสูง

ส่วนประกอบสำคัญของชุดช่วงล่างคุณภาพสูง รถยนต์

รู้หรือไม่ว่า ชุดช่วงล่างคุณภาพสูง ของรถยนต์นั้น ประกอบไปด้วยส่วนประกอบสุดแสนจะสำคัญทั้งหมด 3 ส่วนประกอบด้วยกัน นั่นก็คือ ลูกหมาก , โช้คอัพ และชุดคันส่ง ซึ่งทั้งลูกหมาก , โช้คอัพ และชุดคันส่งนั้น ต่างก็มีหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไป ฉะนั้น จึงขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปไม่ได้ และบทความนี้ เราจะพาเพื่อนๆ ไปทำความรู้จักและทำความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่ของทั้งลูกหมาก , โช้คอัพ และชุดคันส่งกัน  ส่วนประกอบสำคัญของชุดช่วงล่างคุณภาพสูง รถยนต์  ส่วนประกอบแรก คือ ลูกหมาก ลูกหมากถือเป็นชิ้นส่วนสำคัญของช่วงล่างรถยนต์ ซึ่งเป็นปัจจัยที่คอยทำให้รถยนต์ขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพและส่งผลต่อระบบบังคับเลี้ยวของรถยนต์ โดยลูกหมากที่นิยมใช้มีทั้งหมด 5 ประเภท ดังนี้  ลูกหมากคันชัก เป็นลูกหมากที่ยึดติดกับดุมล้อในส่วนของระบบบังคับเลี้ยว มีหน้าที่ในการปรับสมดุลของทิศทางล้อเมื่อเข้าโค้ง  ลูกหมากแร็คช์ เป็นลูกหมากที่ช่วยถ่ายทอดแรงจากการหมุนเลี้ยว มาเป็นการเคลื่อนที่ในแนวตรง  ลูกหมากปีกนกบนและลูกหมากปีกนกล่าง มีความสำคัญในการทำให้ล้อเคลื่อนที่ไปตามทิศทาง ได้อย่าง อิสระ ทั้งพื้นผิวปกติหรือทางต่างระดับ  ลูกหมากกันโคลง เป็นลูกหมากที่ทำหน้าที่ช่วยรับแรงกระแทกเพื่อให้เกิดความนุ่มนวลของตัวรถ  ลูกหมากคันส่งกลาง เป็นลูกหมากที่มีหน้าที่ถ่ายทอดแรงจากการเลี้ยวมาเป็นแนวตรง เช่นเดียวกับ ลูกหมากแร็คช์  ส่วนประกอบที่ 2 คือ โช้คอัพ อีกหนึ่งอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยในการควบคุมการยุบและยืดตัวของสปริงและแหนบ ช่วยรองรับแรงกระแทก พร้อมลดการสะเทือนของรถ   ส่วนประกอบที่ 3 คือ ชุดคันส่ง เป็นชุดอุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับรถยนต์ ทำให้รถมีความเสถียรในการขับเคลื่อน เกิดการควบคุมได้ง่ายหากรถเสียหลัก และยังช่วยเพิ่มสมรรถนะที่มีประสิทธิภาพให้กับยางรถยนต์ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ในการลดแรงสะเทือนได้เป็นอย่างดีด้วย  และท้ายนี้ ก่อนจากกันไป เราขอยกคำถามที่เพื่อนๆ ถามกันเข้ามาบ่อยมากๆ เรียกได้ว่าเป็นคำถามยอดฮิตกันเลยทีเดียว นั่นก็คือ หากรถหรือส่วนประกอบของรถชิ้นใดมีปัญหาควรซ่อมหรือเปลี่ยนดีกว่ากัน เราขอตอบตรงนี้เลยว่า เปลี่ยนไปเลยจะดีกว่า เพราะขึ้นชื่อว่าซ่อมแล้ว คุณได้มีซ่อมอีกอีกแน่นอน ฉะนั้น ถ้าจะเอาให้ชัวร์ไม่เสียเงินหลายรอบ ก็เปลี่ยนเถอะ!  

Read More
รถกอล์ฟไฟฟ้า

มาทำความรู้จักกับรถกอล์ฟไฟฟ้า

รถกอล์ฟ คือ รถที่มักใช้ในสนามกอล์ฟ เนื่องจากสนามมีขนาดใหญ่ จึงใช้เพื่อขนของหรือสัมภาระต่างๆ ที่มีน้ำหนักมากและพาโปรกอล์ฟไปยังจุดต่างๆ เพื่อสนุกสนานกับกีฬากอล์ฟ มีทั้งแบบเป็นรถกอล์ฟไฟฟ้าและน้ำมันเป็นพลังงาน แต่แน่นอนว่าทุกวันนี้ โลกของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และได้รับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศมากมาย ดังนั้นรถกอล์ฟที่แนะนำคงจะหนีไม่พ้นรถกอล์ฟไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้ากันอีกเช่นเคย   วิธีการชาร์จรถกอล์ฟไฟฟ้า   ถ้าหากใช้เครื่องมือชาร์จแบบปกติ ก็จะสามารถชาร์จรถกอล์ฟไปได้ทุกทีแบบสบายๆ โดยมีกระแสไฟฟ้า 10 Ampere ซึ่งจะใช้เวลานานถึง 8 – 14 ชั่วโมง อยู่ที่ความจุของแบตเตอรี่อีกด้วย ซึ่งผู้ใช้จะต้องมีความเข้าใจค่อนข้างสูง แต่ถ้าหากใช้อุปกรณ์พิเศษสำหรับรถกอล์ฟไฟฟ้า ก็สามารถที่จะชาร์จในบ้านได้ ซึ่งจะใช้เพิ่มระดับไฟฟ้าในแรงขึ้นมาอีกหน่อย จึงจะทำให้ใช้เวลาชาร์จเพียง 4 – 8 ชั่วโมงเท่านั้น และสุดท้ายก็คือการชาร์จรถกอล์ฟด้วยไฟฟ้าในแบบแรงสูง แต่ก็ยังไม่มีการใช้งานแต่อย่างไร เพราะอาจจะยังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนาระบบอยู่ โดยคาดการณ์ไว้ว่าอาจจะใช้ระยะเวลาเพียงแค่ 10 – 20 นาทีเท่านั้น   หลักการทำงานของรถกอล์ฟไฟฟ้า  จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเครื่องยนต์ทั้งหมด ซึ่งทำให้ในระหว่างการขับรถนั้นเงียบ เพราะรถกอล์ฟไฟฟ้าไม่มีเสียงการเร่งเครื่องยนต์ แถมยังนิ่ม หรือไม่มีอาการกระชากในการเปลี่ยนเกียร์ และออกตัว นอกจากนี้การขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ซึ่งต่างจากใช้น้ำมันที่ต้องเกิดการเผาไหม้ ทำให้ไม่เกิดผลพิษทางอากาศ จึงทำให้รถกอล์ฟไฟฟ้าเป็นที่นิยม   ลักษณะเด่นของรถกอล์ฟไฟฟ้า  สามารถจุผู้โดยสารได้ตั้งแต่ 2 – 6 คน สามารถขับเคลื่อนได้ระยะทางสูงสุดตั้งแต่ 70 – 100 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับแต่ละรุ่น ความเร็วสูงสุดที่ทำได้ราวๆ 22-23 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โครงสร้างรถทำจากเหล็ก พลังงานแบตเตอรี่ 8 โวทล์ 170 แอมป์ จำนวน 6 ลูก มอเตอร์จับเคลื่อน DC 48 โวลท์ 3-4 กิโลวัตต์ มักมาในดีไซน์สีขาวสะอาด ซึ่งเป็นเอกลักษณ์โดยทั่วไปของรถกอล์ฟ   อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารถกอล์ฟไฟฟ้าจะมีกำลังขับเคลื่อนและแรงบิดที่น้อยกว่ารถกอล์ฟที่ใช้ระบบเผาไหม้พลังงาน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาอย่างแน่นอน แม้ว่าจะเคลื่อนตัวได้ช้ากว่าปกติ แต่นั่นก็สามารถนับเป็นข้อดีได้อยู่บ้าง เพราะการค่อยๆ เคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ จะทำให้คนขับได้เพลิดเพลินกับธรรมชาติและรู้สึกปลอดภัย  

Read More
รถสองล้อไฟฟ้า

มลพิษบนท้องถนน เรื่องใกล้ตัวที่ไม่อาจมองข้าม

หากพูดถึงภาวะโลกร้อน เมื่อ 10 – 20 ปีที่แล้ว เราก็จะพบว่า ภาวะโลกร้อนนั้น เป็นเรื่องที่แสนจะไกลตัว นั่นก็เพราะว่า เรายังไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากมาย แต่หากพูดถึงภาวะโลกร้อนในตอนนี้ เราก็จะพบว่า ภาวะโลกร้อน เริ่มเป็นสิ่งใกล้ตัวคุณมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นก็เพราะว่า แหล่งเผาผลาญพลังงานต่างๆ เริ่มสร้างพลังงานได้มากขึ้นเรื่อยๆ มีการเผาผลาญมากขึ้น แต่แหล่งพลังงานกลับเริ่มน้อยลง จึงขาดสมดุลต่อธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เมื่อพูดแบบกว้างๆ ก็อาจดูไกลตัว หากลองเปรียบเทียบเป็นเรื่องใกล้ตัวอย่างเช่น เรื่องอากาศหายใจบนท้องถนน ที่เราจะต้องพบเจอกันอยู่ทุกวัน เมื่อรถหลายๆ คันสร้างมลพิษบนถนนเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีต้นไม้ที่ช่วยดูดซับสารพิษพวกนั้น อากาศที่เราสูดเข้าไปก็จะเป็นพิษทันที จะเป็นเรื่องที่ดีกว่าไหม หากเราสามารถช่วยลดมลพิษบนท้องถนน เพื่อเพิ่มอากาศบริสุทธิ์ เพื่อสุขภาพร่างกายของตัวเราเอง และต่อคนที่คุณรัก แล้วอะไรบ้าง ที่จะช่วยลดมลพิษบนท้องถนนได้บ้าง?  พอลองหันไปรอบๆ ตัว คุณก็พบว่า บนท้องถนนนั้น มีแต่ยานพาหนะ ที่อาจจะพ่นมลพิษออกมาอยู่เต็มไปหมด แล้วเราจะทำอย่างไรได้บ้าง? บางทีหากคุณลองหันมามองยานพาหนะที่คุณใช้อยู่ อาจจะเป็นสิ่งที่ช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ดีที่สุดก็ได้ อย่างเช่น รถสองล้อไฟฟ้า รถสองล้อไฟฟ้าคือ? รถสองล้อไฟฟ้าคือ ยานพาหนะรูปแบบใหม่ ที่จะช่วยลดการสร้างพลังงานอย่างสิ้นเปลืองให้กับรถของคุณได้ นั่นก็เพราะว่า รถสองล้อไฟฟ้านั้น ไม่ได้ใช้น้ำมันในการสร้างพลังงานเพื่อขับเคลื่อน แต่ว่ารถสองล้อไฟฟ้านั้น ใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์  นอกจากนี้ การใช้งานของรถสองล้อไฟฟ้า ก็ยังเหมือนกับการใช้งานรถมอเตอร์ไซค์ทั่วไป ดังนั้น จึงไม่เป็นการยากลำบากเลย ที่จะเริ่มต้นใช้ยานพาหนะรูปแบบใหม่ๆ ที่จะช่วยลดการเผาผลาญพลังงานอย่างสิ้นเปลืองได้ เมื่อเปลี่ยนตัวเองแล้ว โลกก็จะเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน แม้ว่ามันอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนแค่เล็กน้อย แต่คุณเชื่อเถอะว่า การเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยเหล่านี้ หากทุกคนร่วมแรง ร่วมใจกันเปลี่ยน อากาศบนท้องถนนก็จะดีขึ้น และมลพิษบนท้องถนนก้จะลดลง ท้ายที่สุดแล้วนั้น โลกของเราก็จะต้องเปลี่ยนไป ในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน 

Read More
เกียร์มอเตอร์

เกียร์มอเตอร์ กับ มอเตอร์เกียร์ แตกต่างกันอย่างไร ?

หลาย ๆ คนอาจจะได้ยินคำศัพท์ช่างมาใช้ไหมครับ ? ซึ่งเอาจริง ๆ ศัพท์ทางการช่างนั้นค่อนข้างมีความน่าสนใจและสร้างความสับสนให้เราได้เสมออย่างเช่น วงจรปิด กับ วงจรเปิด (กระแสไฟ) ที่เราเคยเรียกกันตอนมัธยมที่ชื่อมันดันสลับกันวงจรเปิดไฟกับไม่มาแต่วงจรปิดไฟกับมาและเมื่อเราโตขึ้นและยังคลุกคลีอยู่กับวงการณ์ช่างจะได้ยินคำศัพท์อีกอย่างหนึ่งนั้นคือ เกียร์มอเตอร์ และ มอเตอร์เกียร์ และทั้งสองมีความแตกต่างกันหรือไม่ ? เกียร์มอเตอร์ นั้นจริง ๆ แล้วเป็นคำที่เราจะได้ยินทั่วไปทั้งไม่ว่าจะประเทศไทย หรือ ทางฝั่งยุโรป ซึ่งชื่อและการทำงานนั้นก็ตามที่เราอ่านได้เลย มอเตอร์เกียร์             มาถึงคำนี้ทุกท่านอาจจะงงกันว่ามันใช่ตัวเดียวกับตัวที่พูดถึงกันหรือไม่ ? ใช่ครับมันคือตัวเดียวกันแต่ นิสัยของคนไทยนั้นบางทีชอบอ่านทับศัพท์จึงทำให้เกิดคำนี้ขึ้นมา และเป็นคำที่ใช้งานอย่างแพร่หลายอีกซะด้วย                 ซึ่งหากให้อธิบายง่าย ๆ ไม่ว่าจะ เกียร์มอเตอร์ หรือ มอเตอร์เกียร์ นั้นจะเป็นเครื่องมือทางอุปกรณ์วัตถุไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่จะใช้กันอย่างมากในโรงงานโดยหลักการของการทำงานนั้นจะเปลี่ยนพลังงานจากพลังงานไฟฟ้าที่ส่งมาให้กลายเป็นพลังกลแทน ซึ่งจะหลาย แบบ หลายขนาด ให้เราเลือกใช้กัน และแต่ละแบบก็ถูกออกแบบมาให้ใช้กับงานแต่ละประเภทที่ไม่เหมือนกันด้วย ทำงานอย่างไร             เกียร์มอเตอร์ นั้นเป้นหนึ่งในชิ้นส่วนสำคัญของเครื่องจักร อย่างเช่นเครื่องสายพาน หรือเครื่องลำเลียงสินค้า โดยหลักการทำงานนั้นก็เหมือนมอเตอร์ทั่วไปนั้นคือเมื่อไฟเข้ามาแล้วมอเตอร์จะหมุนก็จะทำให้สายพานเริ่มทำงานแต่ว่า ! มอเตอร์ที่ได้รับพลังงานไฟฟ้าและแปลงพลังงานมาในรูปพลังงานกลนั้นจะมีความเร็วที่สูง ดังนั้นหน้าที่ของเฟืองต่าง ๆ ในมอเตอร์นั้นจะช่วยลดความเร็ว หรือ “ทดรอบแรงบิด”  เพื่อที่การลำเลี้ยงสินค้าไม่เร็วเกินไปอยู่ในระดับที่พอดีดังนั้นการเลือกเกียร์มอเตอร์ ให้เหมาะสมกับการนั้นก็สำคัญด้วยเช่นกัน เพราะแต่ละแบบ แต่ละชนิดนั้นไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำงานเหมือนกันหมดนะครับ                 เท่านี้เราก็รู้แล้วนะครับไม่ว่าจะ เกียร์มอเตอร์ หรือ มอเตอร์เกียร์ นั้นล้วนแต่เป็นของชิ้นเดียวกัน แต่ที่ถูกแยกมาเป็น 2 ชื่อก็เพราะความแตกต่างเรื่องการพูดและการอ่านนี้เองเลยทำให้มี 2 ชื่อ สำหรับใครที่อยู่ในวงการณ์นี้แล้วก็คงจะหายสงสัยแล้วใช่ไหมครับ ? ว่าสรุปแล้วมันชื่ออะไรกันแน่ ? วันนี้เราได้พาทุกท่านมารู้จักแล้วน่าจะคลายความสงสัยได้ดีเลยนะครับสำหรับหัวข้อวันนี้

Read More
ประกันรถยนต์ชั้น 3 พลัส

ประกันรถยนต์ชั้น 3 พลัส คุ้มครองครบสำหรับคนงบน้อย

ปัจจุบันการทำประกันภัยรถยนต์มีความคุ้มครองให้เลือกอยู่มาก ทั้งประกันชั้น 1 ที่ให้ความคุ้มครองครบถ้วนตามความต้องการของใครหลายคน แต่ก็ต้องแลกกับราคาเบี้ยประกันที่ค่อนข้างสูง สำหรับคนงบน้อยที่มีข้อจำกัดในเรื่องของเบี้ยประกันภัย แต่ก็อยากได้ความคุ้มครองที่คุ้มค่าที่สุดแล้วล่ะก็ Roojai.com ขอแนะนำประกันชั้น 3 พลัส ประกันภัยรถยนต์ราคาแสนถูกแต่ความคุ้มครองเกินความคุ้มค่า การคุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์ของประกันรถยนต์ชั้น 3 พลัส 1. ความเสียหายต่อตัวรถยนต์ กรณีการชนกับยานพาหนะทางบก บริษัทจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างระยะเวลาประกันภัย ต่อรถยนต์ รวมทั้งอุปกรณ์เครื่องตกแต่ง หรือสิ่งที่ติดประจำอยู่กับตัวรถยนต์ตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ อันมีสาเหตุมาจากการชนกับยานพาหนะทางบก โดยจำนวนเงินคุ้มครองสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาทต่อครั้ง 2. บริการรถยก 24 ชั่วโมง (เนื่องจากอุบัติเหตุ) เมื่อรถยนต์เกิดความเสียหายซึ่งมีการคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยนี้ บริษัทจะจ่ายค่าดูแลรักษารถยนต์ และค่าขนย้ายรถยนต์ทั้งหมดนับแต่วันเกิดเหตุ จนกว่าการซ่อมแซม หรือการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจะเสร็จสิ้นตามจำนวนที่จ่ายไปจริง แต่ไม่เกินร้อยละยี่สิบของค่าซ่อมแซม โดยจำนวนเงินคุ้มครองร้อยละ 20 ของค่าซ่อม นอกจากนี้ประกันชั้น 3 พลัส ยังครอบคลุมไปถึงค่ารักษาพยาบาลอีกด้วย โดยบริษัทประกันภัยจะใช้ค่ารักษาพยาบาล ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าผ่าตัด และค่าบริการอื่น ๆ ตามที่จ่ายจริง เนื่องจากอุบัติเหตุในขณะอยู่ใน หรือกำลังขึ้น หรือกำลังลงจากรถยนต์ โดยจำนวนเงินคุ้มครองสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทต่อคน นับว่าเป็นการประกันภัยรถยนต์ที่คุ้มค่าและครบถ้วนเป็นอย่างมาก หากมองอย่างผิวเผินแล้ว ประกันรถยนต์ชั้น 3 พลัส ก็มีความคล้ายคลึงกับประกันชั้น 1 อยู่บ้าง แต่แตกต่างกันที่ไม่ได้คุ้มครองกรณีอุบัติเหตุจากการชนสิ่งอื่นที่มิใช่รถ ทั้งการเฉี่ยวชนรั้ว การขับชนทางเท้า หรือแม้กระทั่งการชนเสาไฟฟ้า แต่ก็นับว่าประกันชั้น 3 พลัส ได้มอบความคุ้มครองที่คุ้มค่ากับเบี้ยประกันอยู่มาก และหากเลือกทำประกันภัยกับบริษัทประกันภัย หรือนายหน้าประกันภัยที่มีความน่าเชื่อถือ ที่สามารถเลือกราคาเบี้ยประกันได้ด้วยก็จะเพิ่มความคุ้มค่าในการทำประกันชั้น 3 พลัสมากขึ้นแน่นอน

Read More
ซื้อของออนไลน์

เทคนิคการส่งของให้เร็วขึ้นสำหรับแม่ค้าออนไลน์

ต้องบอกว่าการทำธุรกิจออนไลน์นยุคนี้ได้รับความนิยมอย่างสูง เพราะคนส่วนใหญ่ต้องการความสะดวกสบายให้กับตัวเอง จึงเปลี่ยนวิธีการซื้อของจากเดิมที่ต้องไปซื้อตามหน้าร้าน มาเป็นการซื้อในอินเตอร์เน็ตแทน และที่สำคัญการซื้อของในอินเตอร์เน็ตยังมีราคาถูกกว่าด้วย ยิ่งทำให้คนที่ทำการค้าออนไลน์ มีโอกาสที่จะได้กำไรมากกว่าเดิม และปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่จะทำให้ลูกค้าเลือกใช้บริการในร้านของเราก็คือ วิธีการในการจัดส่งที่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งการ ขนส่งไปขอนแก่น ในยุคนี้นั้นจะต้องมีความรวดเร็ว และตัวแปรสำคัญก็คือการ ลองมาดูว่ามีเทคนิคอะไรอีกบ้างที่จะช่วยให้บรรดาพ่อค้าแม้ค้าทั้งหลายส่งของได้เร็วยิ่งขึ้น 1.แพ็คของให้เรียบร้อยก่อนส่งจากที่บ้าน หลังจากที่ได้รับออเดอร์จากลูกค้ามา แนะนำว่าให้แม่ค้าแพ็คสินค้าให้เรียบร้อยหนาแน่นจากที่บ้านไปเลย จะได้ไม่ต้องงไปเสียเวลาในการแพ็คที่หน้าศูนย์ส่ง เพราะนั่นจะทำให้เสียเวลาอย่างมาก และถ้าหากมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเยอะด้วย ก็ยิ่งทำให้เสี่ยงที่จะเสียเวลามากขึ้นไปอีก สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรลืมในการส่งของงก็คือ การใช้แพ็คเกจที่เหมาะสม มีความแข็งแรงกับชนิดของพัสดุที่ส่งด้วย เพราะบางครั้งการขนส่งอาจจะมีการกระแทกบ้าง ไม่เช่นนั้นอาจจะต้องมาเสียเวลาเปลี่ยนของให้กับลูกค้าใหม่ ในกรณีที่เกิดความเสียหายขึ้น 2.ให้ส่งตั้งแต่เช้า ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าจุดที่ต้องการขนส่งพัสดุให้กับลูกค้านั้นอยู่ที่ไหน ห่างไกลจากที่จะที่อยู่มากเท่าไหร่ เพื่อที่จะได้วางแผนเดินทางไป ขนส่งไปขอนแก่น ให้ได้ทันเวลา แนะนำว่าควรจะออกไปส่งพัสดุตั้งแต่เช้า เพราะในช่วงนั้นจะไม่มีคนเข้ามาใช้บริการมากนัก และยังช่วยให้เราประหยัดเวลาได้มากอีกด้วย ลูกค้าก็จะได้รับของเร็วยิ่งกว่าเดิม 3.เลือกบริการขนส่งให้มีประสิทธิภาพ ถึงแม้ว่าทุกวันนี้จะมีผู้ให้บริการเกี่ยวกับการขนส่งพัสดุมากมาย แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกบริษัทจะมีคุณภาพของงการขนส่งเท่ากันทุกเจ้า บางเจ้าอาจจะล่าช้า บางเจ้าอาจจะเร็ว ดังนั้นหากคุณต้องการอยากจะให้ลูกค้าประทับใจในร้านค้าของเรา ควรเลือกผู้ให้บริการ ขนส่งไปขอนแก่น ให้เหมาะสมก่อน ถึงแม้อาจจะมีราคาที่สูงไปบ้าง แต่ถ้าหากได้ใจลูกค้าด้วยก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่า ดีกว่าใช้บริการถูกๆ แล้วได้รับคำตำหนิจากลูกค้ามา 4.จัดส่งเดียว หลังจากที่รับออเดอร์มาจากลูกค้าแล้ว สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณส่งของได้เร็วกว่าเดิมก็คือ ให้ส่งพร้อมกันทีละหลายๆ ชิ้น อาจจะรอรับออเดอร์จนถึงจำนวนที่คิดว่าเหมาะสมก่อน เช่น 50-100 ออเดอร์และทำการแพ็คทีเดียวพร้อมกัน นำไปส่งพร้อมกันเลย วิธีการนี้จะช่วยประหยัดเวลาในการทำงานและไม่ต้องเสียเวลาในการวิ่งไปส่งของที่จุดส่งพัสดุอีกด้วย เห็นไหมว่าการ ขนส่งไปขอนแก่น ไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากเลยหากเรารู้จักวางแผนการส่งให้ดีเสียก่อน วิธีการทั้ง 4 ข้อจะช่วยให้คุณสามารถทำงานได้เร็วขึ้น ทำงานได้มากขึ้น และยังช่วยให้ลูกค้าประทับใจในตัวร้านค้าด้วย ยิ่งส่งของเร็วมากเท่าไหร่ ลูกค้าก็มีเปอร์เซ็นต์ที่จะกลับมาใช้บริการอีกมากเท่านั้น

Read More